ReadyPlanet.com
dot
dot
สมุนไพรที่ใช้รักษากลุ่มอาการต่าง ๆ
dot
bulletสมุนไพรที่ใช้รักษาอาการไข้ ตัวร้อน
bulletสมุนไพรที่ใช้รักษาอาการหวัด คัดจมูก น้ำมูกไหล
bulletสมุนไพรที่ใช้รักษาอาการของโรคกระเพาะ ลำไส้
bulletสมุนไพรที่ใช้รักษาอาการหืด หอบ ริดสีดวงจมูก
dot
รวมลิงค์เว็บเพื่อนบ้าน
dot
bulletเว็บสำเร็จรูป
bulletจดโดเมนเนม
bulletเว็บซื้อขาย
dot
Newsletter

dot


แบนเนอร์ตัวอย่าง
แบนเนอร์ตัวอย่าง
แบนเนอร์ตัวอย่าง
แบนเนอร์ตัวอย่าง
แบนเนอร์ตัวอย่าง


เกี่ยวกับเรา


วัตถุประสงค์ของการเปิดเว็บไซต์  osotsala.com

ข้าพเจ้ามักบอกลูกศิษย์เสมอว่า 
"การมีชีวิตอยู่  มิใช่เพียงเพื่อตัวเราเอง  แล้วเราจะมีความสุข"

เมื่อข้าพเจ้าอายุได้ 5 ปี
ข้าพเจ้าต้องสูญเสียน้องชาย ซึ่งมีอายุไม่ถึง 2 ปี
ข้าพเจ้าอยู่ในเหตุการณ์นั้น จึงจำได้ดี   แม้เวลาจะผ่านไปกว่า 40 ปี

น้องชายซึ่งมีอาการไข้ขึ้นสูง ถูกนำส่งขึ้นเตียง ให้แพทย์ฝึกหัด คณะหนึ่ง
เข้าทำการรักษา  น้องชายถูกแพทย์ฝึกหัด และ พยาบาล จับขึงพืดทั้งแขน
และขา  เพื่อให้แพทย์ฝึกหัด อีกหนึ่งท่านตรวจอาการ
ด้วยความเป็นเด็ก  ไม่เคยถูกผู้ใหญ่จับแขนและขา แน่นขนาดนั้น
พร้อมกันกับการถูกขยำไปตามร่างกาย เพื่อตรวจอาการ
น้องชาย ทั้งฉี่ลาด ขี้แตก และตกใจตายในทันที

 

แม้เวลาจะผ่านเลยไปกว่า 40 ปี
ในเวลาที่ข้าพเจ้าพิมพ์บทความนี้
น้ำตาของข้าพเจ้ายังคงไหลรินจากดวงตาทั้งสอง

บิดามารดาของข้าพเจ้า ไม่เคยโทษแพทย์ที่ทำการรักษาน้องชาย
ได้แต่โทษเวรกรรม
ของตนเอง
และของลูกน้อย ที่ต้องด่วนจากครอบครัวของเราไปตั้งแต่ยังเยาว์

เนื่องจากมารดาของข้าพเจ้ามีความรู้ภาษาจีนอยู่บ้าง
ประกอบกับคุณตาเคยมีประสพการณ์ในการรักษาคนไข้
ทำให้มารดาของข้าพเจ้าเริ่มหาตำราแพทย์แผนจีน  มาศึกษาด้วยตนเอง
และได้นำภูมิปัญญาเหล่านั้น มารักษาลูก ๆ ภายในครอบครัวของตนเอง
เมื่อทำการรักษาได้ผล  ก็มีเพื่อนบ้าน มารับการรักษา ซึ่งก็ได้ผลดี

เหตุการณ์ต่าง ๆ ของการรักษาคนไข้  ได้ทำให้ข้าพเจ้าซึมซับ ความคิด
ที่จะศึกษาวิชาการแพทย์ ตั้งแต่วัยเด็ก

ข้าพเจ้าจำได้ดีถึงสมัยใกล้จบ ม.ศ. 3 ได้เข้าเรียนในโรงเรียนกวดวิชาที่มีชื่อ
เพื่อมุ่งสอบเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา

แต่แล้ว  เพื่อนสนิทได้มาให้ความเห็นว่า จะเรียนแพทย์ไปทำไม
กว่าจะเรียนจบ ม.ศ. 5 ยังต้องใช้เวลาอีก 6 ปี จึงเรียนจบแพทย์

สู้ไปเรียนสายพาณิชย์ดีกว่า เรียนอีก 3 ปี จบออกมาก็มีงานทำ
ได้ช่วยเหลือครอบครัว ไม่ดีกว่าหรือ

ข้าพเจ้านึกถึงพ่อแม่ที่เริ่มอายุมากขึ้นทุกปี
ยังมีน้อง ๆ เล็ก ๆ อีก 4 คน
เงินทองที่จะส่งให้เล่าเรียนจนถึงมหาวิยาลัยคงต้องใช้ไม่น้อย

จึงตัดสินใจเบนเข็มชีวิตการศึกษาทันที
เพื่อนที่แสนดี ได้ยื่นใบสมัครเข้าสอบ
วิทยาลัยพณิชยการพระนคร มาให้ 1 ชุด

ข้าพเจ้าไม่ลังเลที่จะไปสมัครสอบพร้อมกับเพื่อน
ทั้ง ๆ ที่เนื้อหาที่ได้จากการเรียนกวดวิชานั้น
มุ่งใช้เพื่อการสอบเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
มีความแตกต่างกันมากในบางวิชาที่ใช้สอบเข้า
โรงเรียนพาณิชยการพระนคร

แต่ด้วยบุญบารมีขององค์เสด็จพ่อกรมหลวงชุมพร เขตรอุดมศักดิ์
ทำให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสสอบเข้าโรงเรียนพาณิชยการพระนคร
ณ สถานที่แห่งนี้  เดิมคือวังสน สถานที่ประทับของพระองค์ท่าน

(ต่อมาข้าพเจ้าได้ทราบถึงพระปรีชาสามารถของพระองค์
ซึ่งนอกจากจะทรงจบการศึกษาทางด้านทหารเรือมาจากประเทศอังกฤษ
และนำความรู้ที่ทรงศึกษามาทำประโยชน์แก่กองทัพเรือของไทยเราแล้ว
พระองค์ยังทรงได้รับการขนานพระนามว่า  "หมอพร"
หมอแผนไทย  ผู้ทำการรักษาโรคให้ประชาชน ได้อย่างเห็นผล 
จนเป็นที่ชื่นชมของชาวบ้าน)

เมื่อเรียนใกล้จบชั้น ม.ศ. 5 ในขณะนั้น
ข้าพเจ้ามีทางเลือกอยู่ 2 ทาง 
1 เรียนให้จบชั้น ม.ศ. 6 แล้วก็ออกมาทำงาน
2 ไปศึกษาต่อในชั้นมหาวิทยาลัย เมื่อมาถึงตอนนี้ ไม่ต้องคิดถึงคณะแพทย์แล้ว
    เหลือเพียงคณะที่ต้องใช้เวลาเรียนต่ออีก 4 ปี ก็สามารถจบออกมาทำงานได้

ข้าพเจ้าได้เข้าไปปรึกษากับมารดา ว่าลูกควรเรียนให้จบที่วิทยาลัยพาณิชยพระนคร
อีก 1 ปี ก็สามารถออกมาทำงาน หาเงินช่วยทางบ้านได้แล้ว 
หรือจะให้ลูกเรียนต่อชั้นปริญญาตรี ซึ่งต้องใช้เวลาถึง 4 ปี กว่าจะจบออกมา
ทำงานหาเงินช่วยเหลือพ่อแม่ได้

คำตอบของคุณแม่ยังคงกึกก้องอยู่ในหูของข้าพเจ้าจนบัดนี้

"อย่าโง่เลยลูก เรียนอีก 1 ปี จบเพียงวุฒิ ปวช. 
เจ้าออกมาทำมาหากิน เจ้าจะทำอะไรกิน
อายุเจ้ายังน้อย เรียนให้จบมหาวิทยาลัยเถอะลูก
พ่อกับแม่ ยังพอมีความสามารถหาเงินมา ส่งลูกเรียนได้อยู่"

ข้าพเจ้าเบนเข็มครั้งสำคัญในการเรียนอีกครั้งหนึ่งในชีวิต
มหาวิทยาลัย  ต้องสอบเอ็นทรานซ์ เข้ามหาวิทยาลัยให้ได้
ปัญหาที่ต้องคิดตามมาทันที
แล้วเราจะเรียนคณะอะไร ?
ทำไมเราไม่รู้จักปรึกษาคุณแม่ตั้งแต่ตอนจบ ม.ศ. 3 นะ
มาถึงนาทีนี้ จะเข้าคณะแพทย์ เพื่อเรียนรู้วิธีการรักษาโรคทางกายคงไม่ได้
เอาเป็นว่า เรียนรู้วิธีการรักษาโรคทางใจของคนไปก่อนก็แล้วกัน
คณะนิติศาสตร์  จึงเป็นคณะที่ข้าพเจ้าได้เลือกเรียนในเวลาต่อมา

ด้วยพระบารมีขององค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
และองค์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทำให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาส เข้ารับการศึกษาในจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย

ตลอด 4 ปี ที่ได้ศึกษาอยู่ในรั้วจามจุรี แห่งนี้
ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ชีวิต และสัจธรรมต่าง ๆ
จากครูอาจารย์ และเพื่อนมากมาย
ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการประกอบวิชาชีพทางด้านกฎหมายไม่น้อย

การใช้ความรู้ทางกฎหมายในการประกอบวิชาชีพ
ยังความสุขให้แก่ข้าพเจ้าได้แต่เพียงทางด้านร่างกาย

แต่ทางด้านจิตใจล่ะ
ข้าพเจ้ายังไม่รู้สึกถึงความสุขที่สามารถบังเกิดขึ้นได้
จากการประกอบวิชาชีพทางด้านกฎหมายเลย

"การมีชีวิตอยู่  มิใช่เพียงเพื่อตัวเราเอง แล้วเราจะมีความสุข"

อมตะวาจาประโยคนี้ ข้าพเจ้าอ่านพบจากห้องสมุดในคณะนิติศาสตร์
จำไม่ได้ว่าคัดมาจากหนังสือเล่มใด
แต่ข้าพเจ้าไม่รีรอที่จะบันทึกมันไว้บนปกหนังสือ
ประมวลกฎหมายอาญาที่ใช้เรียนในสมัยนั้น
และเนื่องจากมันเป็นหนังสือที่ใช้เรียนถึง 4 ปี
อมตะวาจาประโยคนี้ จึงอยู่ในความทรงจำมาถึงบัดนี้

ข้าพเจ้าเริ่มรู้สึกว่า วิชาชีพกฎหมายไม่เหมาะกับตนเองเสียแล้ว
หากในบั้นปลายของชีวิต เราต้องการความสุขทางใจ

เพื่อน ๆ บางคนเมื่อดำรงวิชาชีพทางด้านกฎหมาย  มาถึงบัดนี้
โรคภัยไข้เจ็บเริ่มถามหา รุ่นพี่บางคนไม่มีโอกาสได้แก่ตาย
เงินทองที่ทำมาหาได้มาทั้งชีวิต ตนเองไม่มีโอกาสได้ใช้
มันเป็นความสุขหลอกหรือ  หรือหลอกสุขความเป็นมัน

ข้าพเจ้าได้เบนเข็มการศึกษาอีกครั้งหนึ่งในชีวิต

ข้าพเจ้านึกถึงตำราการแพทย์แผนจีน  ที่คุณแม่ได้ศึกษามาทั้งชีวิต
ได้นำมาใช้ประโยชน์ในการรักษาคนในครอบครัว และเพื่อนบ้าน

เราน่าจะนำมาแปลเป็นภาษาไทย  เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อประชาชน
ชาวไทย  เพราะตัวยาสมุนไพรที่ใช้  มีอยู่มากมายที่ขึ้นในประเทศไทย

แล้วข้าพเจ้าจะแปลภาษาจีนเหล่านั้นได้อย่างไร ในเมื่อเรายังไม่มีความรู้
ทางด้านการแพทย์แผนไทยอยู่เลย

ข้าพเจ้าจึงได้ตัดสินใจเข้าเรียนวิชาแพทย์แผนไทย
ที่สมาคมเภสัชและอายุรเวชโบราณแห่งประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. 2540
ณ วัดสามพระยาในขณะนั้น (ปัจจุบันปี พ.ศ. 2552 ได้ย้ายมาอยู่ที่วัดธาตุทอง)
ณ สมาคมฯ แห่งนี้ ข้าพเจ้าได้รับการถ่ายทอดความรู้จากครูอาจารย์ เป็นอย่างดี
จนสามารถสอบรับใบประกอบโรคศิลปะ สาขาการแพทย์แผนไทย ได้ 3 ประเภท
คือ ประเภท เวชกรรมไทย  , เภสัชกรรมไทย , และการผดุงครรภ์ไทย

ข้าพเจ้าระลึกอยู่เสมอว่า  สมาคมเภสัชและอายุรเวชโบราณแห่งประเทศไทย
เป็นสมาคมฯ ที่ข้าพเจ้าได้มีโอกาส ศึกษาความรู้ด้านการแพทย์แผนไทย
และตรงกับเจตคติของข้าพเจ้า  ที่จะนำการแพทย์แผนไทยมาเผยแพร่ให้
ประชาชนคนไทยเรา  ได้รู้จักสมุนไพรในการรักษาตนเอง ตามจุดมุ่งหมาย
ในการเปิดเว็บไซต์ที่จะกล่าวต่อไปในภายหน้า

(สมาคมเภสัชและอายุรเวชโบราณแห่งประเทศไทย แม้ก่อตั้งมาใกล้จะครบ
60 ปี ในปี พ.ศ. 2555  แต่จนบัดนี้  ยังต้องเร่ร่อนประดุจสัมภเวสี
หาที่ตั้งซึ่งเป็นทรัพย์สมบัติของสมาคมฯ ไม่ได้
 
ข้าพเจ้ามีความตั้งใจ   ที่จะใช้กำลังกาย กำลังใจ ผลักดันให้สมาคมฯ แห่งนี้
มีที่ตั้งของตนเอง  เพื่อให้สามารถทำกิจกรรมที่มีประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง
ได้สืบต่อไปในภายหน้า)

เมื่อข้าพเจ้าพอมีความรู้เกี่ยวกับการแพทย์แผนไทยบ้างแล้ว
คราวนี้เราจะทำอย่างไร  เพื่อให้มีความรู้ด้านภาษาจีน  เพื่อมาใช้แปลตำรับ
ตำราที่มีคุณค่าทั้งหลายที่มีอยู่

ต้องเรียนภาษาจีน 
แล้วเราจะเรียนภาษาจีนที่ไหนดีล่ะ
ช่างเป็นเรื่องบังเอิญที่มหาวิทยาลัยภาษาและวัฒนธรรมปักกิ่ง
ได้มาร่วมมือกับมหาวิทยาลัยอัสสัมชัน  มาเปิดวิทยาเขตที่กรุงเทพมหานคร
ข้าพเจ้าจึงได้เข้าสมัครเรียน เมื่อ ปี พ.ศ. 2547 และจบการศึกษา
เมื่อปี พ.ศ. 2550
 
ที่มหาวิทยาลัยภาษาและวัฒนธรรมปักกิ่ง วิทยาเขตกรุงเทพมหานคร แห่งนี้
ช่วยให้ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ภาษาจีนได้เป็นอย่างดี  และใคร่ขอถือโอกาสนี้
แนะนำผู้ที่สนใจศึกษาภาษาจีน  ถ้าท่านมีความตั้งใจ (ขอย้ำคำว่า ตั้งใจ ต้องตั้งใจ)
สถานศึกษาแห่งนี้ จะสร้างคุณูปการให้ท่านสามารถบรรลุผลทางการศึกษาได้
เป็นอย่างดีอีกแห่งหนึ่งด้วย

บัดนี้  ข้าพเจ้าเห็นว่า  ถึงเวลาที่จะต้องลงมือทำในสิ่งที่ตั้งใจ เสียแต่บัดนี้
ก่อนที่จะไม่มีโอกาสทำในสิ่งที่ตั้งใจ

ข้าพเจ้าไม่สามารถรู้ได้ว่า  ภาระกิจที่ตั้งใจทำจะสำเร็จลงเมื่อใด
จึงคิดว่า  สมควรเปิดเว็บไซต์ osotsala.com ขึ้นมา
เพื่อรวบรวมสิ่งที่ข้าพเจ้าเห็นว่ามีประโยชน์ต่อประชาชนชาวไทย
ใส่เข้าไปในเว็บไซต์นี้เพื่อให้ได้รับรู้ข้อมูลเบื้องต้นก่อน

เว็บไซต์นี้ เพิ่งจดโดเมนเนมขึ้นเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2552
โดยที่ข้าพเจ้าไม่มีความรู้ใด ๆ เกี่ยวกับการพัฒนาระบบ
หรือการจัดทำเว็บไซต์ มาก่อนเลย

แต่ต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ของ ReadyPlanet.com
ที่มีส่วนช่วยให้ข้าพเจ้ามีความรู้พื้นฐาน ในการจัดทำเว็บไซต์นี้
โดยข้าพเจ้าเชื่อว่า เจ้าหน้าที่ของบริษัทนี้ จะมีพลังในการทำงาน
เพื่อให้ความรู้ แก่ผู้ไม่รู้  อย่างไม่ย่อท้อ หรือเหน็ดเหนื่อยเช่นข้าพเจ้า

และข้าพเจ้าจะไม่ลืมที่จะคิดถึงเสมอว่า ท่านได้มีส่วนสนับสนุน
และผลักดันให้เว็บไซต์นี้  ประสพความสำเร็จ ในวันหนึ่งข้างหน้า

 
จุดมุ่งหมายของ โอสถศาลา

- มุ่งให้ความรู้  สร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง
  ในการใช้ประโยชน์จากภูมิปัญญาของบรรพชน
  เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ  รักษาสุขภาพ ของตนเองและครอบครัว
  ให้มีอายุยืนยาว  โดยปราศจากโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน

- เพื่อลดปริมาณการเข้ารับการรักษาพยาบาล  จากบุคคลากรทางการแพทย์ 
   ในโรงพยาบาล หรือคลินิก  ลดการใช้ยาแผนปัจจุบัน  ที่นอกจากมีราคาแพงแล้ว
   ยังมีผลข้างเคียงต่อร่างกายผู้ใช้ยา ในระยะยาวด้วย

- มุ่งให้รู้จักสรรพคุณของสมุนไพร ที่พบเห็นได้จากธรรมชาติ  หรือหาซื้อได้จาก
  ร้านขายยา  ว่ามีคุณค่าในการป้องกันโรค  หรือรักษาโรค อะไรได้บ้าง

- มุ่งให้รู้จักวิธีการนำสมุนไพร แต่ละชนิดมาปรุง เป็นอาหาร เครื่องดื่ม หรือยา
  เพื่อรักษาโรค  หรือป้องกันมิให้เกิดโรคต่าง ๆ

- เป็นศูนย์กลางในการรวบรวมองค์ความรู้ ตำรับยา และตัวยา ของภูมิปัญญาชาวบ้าน
   จากท้องถิ่นต่าง ๆ แล้วนำมาเผยแพร่ให้แก่ประชาชน เพื่อสามารถนำไปใช้ได้จริง

   ประกิจ  เจียรไกร
   9 สิงหาคม 2552

 







Copyright © 2010 All Rights Reserved.

นายประกิจ เจียรไกร
ที่อยู่ :  เลขที่ 9/35 ซอยอ่อนนุช 27 แขวง :  สวนหลวง เขต : สวนหลวง
จังหวัด :กรุงเทพมหานคร      รหัสไปรษณีย์ : 10250
เบอร์โทร :  .................     มือถือ :  ......................
อีเมล : osotsala2552@gmail.com
เว็บไซต์ : osotsala.com